วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ส่งงานน้ะคับ

<?php
โค้ดเปิดการสร้างข้อมูลของโปรแกรม php

$sql ="select * from student order by id asc ";
Select  หมายถึง เลือก
* หมายถึง เลือกทุกฟิลว์จากเทเบิล student
แล้วให้เรียงข้อมูลจากฟิลว์ชื่อ id ดยให้เรียงข้อมูลแบบ asc คือ การเรียงจากน้อยไปมาก
หากต้องการเรียงจากมากไปน้อยจะต้องใช้แบบ dasc

$query=mysql_query($sql) or die(mysql_error());
คือการประมวลผลคำสั่ง sql โดยใช้ฟังก์ชัน$query
Query  หมายถึง การประมวลผล

$num=mysql_num_rows($query);
mysql_num_rows คือ การเช็คข้างบนเร็คคอทว่าจากคำสั่ง sql ด้านบนมีกี่เร็ทคอท

echo $num;
การแสดงตัวแปรนำว่าค่าเท่าไหร่

?>
เครื่องหมายโค้ดที่แสดงถึงการจบโค้ดของ php

การบ้าน PHP


<?php $score=79;if($score<50){echo 'grade 0';}else if($score<56){echo 'grade 1';}else if($score<60){echo 'grade 1.5';}else if($score<66){echo 'grade 2';}else if($score<70){echo 'grade 2.5';}else if($score<76){echo 'grade 3';}else if($score<80){echo 'grade 3.5';}else{echo 'grade 4';}?>

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556


ประวัติความเป็นมาของจักรยาน BMX ทำความรู้จักถึงความเป็นมา ต้นกำเนิด

จักรยานสองล้อรุ่นแรก ๆ ที่เป็นต้นแบบของจักรยานสองล้อในปัจจุบันมีกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2343ในปี พ.ศ. 2408  ได้มีการผลิตจักรยาน 2 ล้อ รุ่นหนึ่งซึ่งมีตัวล้อเป็นเหล็ก  และมีขอบล้อทำด้วยไม้  กำลังเคลื่อนล้อได้มาจากแรงปั่นด้วยเท้าบนบันไดทั้งสองของรถจักรยาน  เหมือนกับในรถสามล้อถีบปัจจุบัน  ในช่วงต่อมาได้มีการใช้ล้อทำด้วยยาง    และในราวปี พ.ศ. 2423-2433  ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางล้อหน้าได้ขยายใหญ่ขึ้นถึง 60  นิ้ว  ซึ่งทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทางถึง 16  ฟุต จากการปั่นบันไดรถจักรยานหมุน 1 รอบ  อันมีผลให้มันสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง  ทั้งในแนวราบและวิ่งลงเขาแต่สำหรับการขี่ขึ้นทางชันนั้นจะต้องออกแรงเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นการที่จุดศูนย์ถ่วงของตัวจักรยานอยู่สูงทำให้มันมีแนวโน้มที่จะพลิกคว่ำหรือเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย  ดังนั้น  ในราวปี พ.ศ. 2428  จึงได้มีการผลิตจักรยานรุ่นใหม่ที่มีรูปลักษณะเหมือนจักรยานสมัยใหม่ในปัจจุบัน  คือ ล้อทั้งสองมีขนาดเท่ากัน  และมีเฟืองที่บันไดรถ  เพื่อถ่ายทอดกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง  ทำให้เกิดลักษณะการขับขี่มั่นคงกว่าเดิม  และยังให้อัตราทดกำลังด้วยการเลือกใช้เฟืองทดกำลังที่เหมาะสมสำหรับขับขี่โดยเฉพาะด้วยความเร็วต่ำแต่เบาแรงกว่าในขณะปั่นขึ้นเขาหรือทางชัน

จักรยานBMXเกิดขึ้นประมาณยุค 70  ในทางตอนใต้ของคาลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งได้ปรับแต่งจักรยานขนาดล้อ 20นิ้ว ซึ่งพวกเขาได้แรงบรรดาลใจจากการชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแข่งขันจักรยานยนต์  Motocass  แล้วทำให้เป็นที่นิยมกันมากในตอนนั้น    การแข่งขันจักรยานวิบากแบบ BMX (Bicycle Moto Cross)    ที่มีวงล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้ว ในประเภทความเร็ว(Racing) ได้เป็นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้แพร่ขยายไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว   หลังจากนั้นไม่นานนักขี่หลายๆคนได้ฝึกท่าทางพลิกแพลงผาดโผนในแบบต่างๆ เพื่อความสนุกสนาน และใช้โชว์ออฟกันในกลุ่มเพื่อนๆ ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะในการควบคุมรถได้อย่างดี และเมื่อมีโอกาส ก็มักจะได้นำท่านั้นมาออกโชว์กันในช่วงพักของการแข่งขัน หรือในการโปรโมท์ ให้กับสปอนเซอร์ของตน ซึ่งจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีทีเดียว ต่อมาเมื่อมีท่าทางหลากหลายมากขึ้น   นักขี่หล่าวนั้นได้หันมาเน้นฝึกแต่ท่าพลิกแพลง(Tricks)  อย่างจริงจัง
จนกระทั่งได้กลายเป็นกีฬาประเภทใหม่ที่เน้นฝึกเฉพาะแต่ท่าผาดโผนอย่างเดียว  และได้พัฒนาท่าพลิกแพลงเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในยุคนั้นท่ายังไม่มีมากนัก จึงมีการคิดค้นลีลาต่างๆ ออกมาใหม่ ตลอดเวลา นักขี่แต่ละคนจะมีท่าเป็นของตนเอง ไม่ค่อยจะซ้ำกันนัก นักขี่กลุ่มนี้จึงถูกขนานนามว่า "Freestyler" และได้เริ่มมี การจัดการแข่งขันเฉพาะทางขึ้น นักขี่ที่มีชื่อที่สุด
คนหนึ่งในช่วงนั้น คือ Bob Haro ซึ่งถือได้ว่าเป็น "Father of Freestyle"
(ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทจักรยานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่ง)

ในราวปี 1985 เป็นต้นมา ทางบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายๆราย ได้มีการผลิตอะไหล่ ที่ทำไว้สำหรับการเล่นท่า Freestyle ได้แก่ตัวถังที่มีที่ยืนตรงหลักอาน, ที่ยืนตรงแฮนด์, ที่ยืนตรงแกนล้อ และตะเกียบฯลฯ  การจัดแข่งขันเริ่มมีมากขึ้นมีการรวมตัวนักขี่ผาดโผน จัดตั้งเป็นทีม Freestyle  อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงนี้เอง ที่สมาคม AFA(American Freestyle Association) ได้เข้ามาผูกขาดในการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ๆ นักขี่เอือมกับกติกาหยุมหยิม เช่น Flatland ก็ให้ใส่หมวกกันน๊อก และกรรมการเป็นคนธรรมดาไม่รู้จักการให้คะแนน โดยเฉพาะท่ายากๆหรือท่าใหม่ๆ  แบนนักขี่ที่ไปแข่งงานอื่น  จัดแบ่งรุ่น(Class)ละเอียดยิบ ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามรุ่นอายุ ยังมีรุ่นสมัครเล่น(Amateur) และรุ่นมืออาชีพ(Pro) ซึ่งนักขี่จะลงได้หลายรุ่น ปัญหาจึงอยู่ที่คนที่มีฝีมือดียังไม่ยอม Turn Pro ง่ายๆเพราะยังหวงตำแหน่งอยู่ต่อมาในยุค 90  AFA ยกเลิกการจัดแข่ง ทำให้วงการเงียบเหงาไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้ Mat Hoffman ซึ่งเป็นนักขี่ ได้ริเริ่ม จัดงานแข่งขึ้นเองชื่อ Bike Stunt Series หรือ BS ซึ่งเป็นการปลุกผีวงการขึ้นมาอีกครั้ง และได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกระทั่ง ESPN ช่องกีฬายักษ์ใหญ่ได้มาติดต่อขอซื้อรายการต่อ  จัดให้มีการนำภาพจากการแข่งไปออกอากาศทั่วโลก และต่อมาได้รวบรวมกีฬาสุดขั้วหรือ Extreme Sports เข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อ “X-GAMES”


2พี่น้อง กับสุดยอดกีฬา bmx


รูป1.2 ......เกียรติชัย วานิชย์สกุล นักจักรยานผาดโผนทีมชาติไทย ตีลังกากลางอากาศชนิดที่นักกีฬาชาติอื่นได้แต่มองตาค้าง เพราะเป็นท่ายากสุดๆๆ เลยทำคะแนนนำโด่ง 94คะแนน คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานผาดโผนBMX ฟรีสไตล์ ประเภท ปาร์ค กีฬาเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ครั้งที่2 ที่ สนาม M.U.S.T พาวิลเลี่ยน เขตปกครองพิเศษมาเก๊า



ภาพ,3,45.....พี่ชายเจ้า เกียรติชัย ชื่อ โชคชัย ลีลาสุดยอดเหมือนกัน ลอยๆๆพุ่งๆเป็นว่าเล่น ขณะที่นักกีฬาชาติอื่นพยาย้าม พยายามเรียนแบบ ผลร่วงไม่เป็นท่า หามลงเปลไปหลายคน โชคชัย 89.33คะแนน คว้าเหรียญเงิน ท่ามกลางเสียงกรี๊ดๆๆๆของสาวๆๆชาวมาเก๋า




ภาพ6 โฉมหน้า 2คนเก่งกล้าบ้าระห่ำ ของกีฬา "เกมวัดใจ" จริงๆๆ เก่งกล้า บ้าบิ่น

ภาพfutsal ทีมไทยลงสนามกระซวก"เจ้าภาพ"มาเก๊าไป 7-2ประตู เบอร์10ชื่อ เอกพันธ์ สุรัตน์สว่าง
ส่วนอีกคน "เจ้าบัง"อนุชา มั่นเจริญ นักเตะฟุตซอลทีมชาติไทย



ขอบคุณครับ .....badphoto









เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสท์โดย zapykrys


          เรียกได้ว่าเป็นทั้งไอเดียที่ดีแถมยังมันส์สุด ๆ เลยด้วย สำหรับหนุ่มนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ที่ทำให้ใคร ๆ ก็ตามที่ฝันอยากจะลอยตัวเหนือพื้นสูง ๆ ได้ หรือไม่ก็กระโดดเล่นกับน้ำไปมาเหมือนโลมา ได้ทำตามฝันกันแบบสุด ๆ ด้วยเครื่องเจ็ตพลังแรงดันน้ำนั่นเอง!!

          หนุ่มฝรั่งเศสคนดังกล่าว คือ คุณฟรองกี้ ซาปาต้า จากเมืองมาร์กเซย์ ได้สร้างเครื่องเล่นกีฬาทางน้ำขึ้นมาใหม่ด้วยผลงานที่มีชื่อว่า "Flyboard" โดยสามารถอธิบายได้อย่างง่าย ๆ คือ เป็นแท่นยืนที่มีรองเท้ายึดเอาไว้สำหรับใส่เพื่อความยึดเกาะที่แข็งแรง จากนั้นก็ติดส่วนของแท่นยืนนั้นเข้ากับท่อสายยางขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับตัวมอเตอร์ของเจ็ตสกี เพื่อเป็นแรงส่งให้ Flyboard ได้ลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ

          ขณะเดียวกัน เมื่อไปยืนบน Flyboard แล้วอยากจะเลี้ยวซ้าย - ขวา ก็จะมีส่วนที่เป็นเหมือนคันบังคับเพื่อควบคุมทิศทางไว้ให้ และจะมีส่วนที่เป็นเหมือนไกปืน ไว้คอยบังคับความเร็วว่าอยากจะให้เคลื่อนไปได้เร็วมากน้อยขนาดไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องมีการฝึกการทรงตัวให้ดีด้วย เพราะด้วยความแรงของน้ำที่ได้รับการดันจากตัวมอเตอร์ หากไม่สามารถควบคุมหรือทรงตัวให้อยู่ได้ ก็จะมีปัญหากับการเล่น Flyboard อยู่พอสมควรเหมือนกัน

          ด้านสมรรถนะของเจ้า Flyboard นี้ สามารถอัดแรงดันของน้ำออกมาได้แตะ ๆ 100 แรงม้าเลยด้วย แถมยังสามารถลอยตัวขึ้นเหนือน้ำได้สูงกว่า 9 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งด้วยความสูงนี้เอง เลยทำให้ทั้งเขาหรือใครก็ตามที่มาเล่น Flyboard สามารถจัดเต็มท่าทางต่าง ๆ ได้ตามใจชอบเลย ทั้งตีลังกา หมุนตัว ทำท่าโลมา และอื่น ๆ อีกมากมาย

          ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ คุณซาปาต้า ใช้เงินในการประดิษฐ์ Flyboard ไปทั้งสิ้น 4,200 ปอนด์ หรือประมาณ 202,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อไปเปรียบเทียบกับเครื่องเจ็ตหรือเครื่องเล่นกีฬาทางน้ำอื่น ๆ ที่มีลักษณะการเล่นแบบเดียวกันนี้ Flyboard ถือว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่ามาก ๆ เลยด้วย

บี-บอย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บี-บอย ในงานเอ็มทีวีสตรีทเฟสติวัล หน้าลานเซ็นทรัลเวิร์ล
บี-บอย (อังกฤษB-boy) หรือ บี-เกิร์ล (อังกฤษB-girl) คือคนที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมฮิปฮอป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเต้นเบรกแด๊นซ์ ที่มาของคำมาจากดีเจฮิปฮอปที่ชื่อ ดีเจ คู เฮิร์ก (อังกฤษDJ Kool Herc) ที่สังเกตว่ามีการตอบรับของกลุ่มนักเต้นในขณะที่เขาเปิดเพลงอยู่ โดยได้ตั้งชื่อพวกเขาว่าเป็น บีต-บอย (อังกฤษbeat-boy) หรือ บี-บอย
กลุ่มบี-บอย สังเกตได้จากการแต่งกาย รสนิยมการฟังเพลง หรือวิถีชีวิต แต่ในปีหลัง ๆ จะดูเฉพาะเจาะจงเฉพาะกลุ่มนักเต้น
การเต้นของนักเต้นบี-บอย จะมี 4 องค์ประกอบพื้นฐาน เริ่มจาก ท็อปร็อก (อังกฤษToprock) องค์ประกอบที่ 2 คือ ดาวน์ร็อก (อังกฤษDownrock) หรือ ฟุตเวิร์ก (อังกฤษ:Footwork) องค์ประกอบที่ 3 คือ ฟรีซ (อังกฤษFreeze) และองค์ประกอบสุดท้ายคือ พาวเวอร์ (อังกฤษPower)

ประวัติ[แก้]

เบรกกิ้ง (Breaking) หรือ บี-บอยอิ่ง (b-boying) โดยทั่วไปจะเรียกกันในชื่อ Breakdance (เบรกแดนซ์) เป็นรูปแบบการเต้นที่พัฒนา ในส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป ในกลุ่มวัยรุ่นคนดำและละตินอเมริกา ในเซาท์บรองซ์ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า บี-บอย มาจากคำว่า เบรกบอย (break boy) ด้วยเหตุผลที่พวกเขาจะเป็นพวกเต้นโดยเฉพาะ.[1][2][3]โดยจะเต้นทั้งในแนวเพลงฮิปฮอป, ฟังค์ และ แนวเพลงอื่น ๆ ด้วยที่มักเป็นดนตรีรีมิกซ์ ที่คั่นระหว่างเพลงพัก
4 องค์ประกอบเบื้องต้นมาจากรากฐานในการเต้น เบรกกิ้ง (Breaking) องค์ประกอบแรกคือ ท๊อปร็อก (TopRock) คำศัพท์ที่ว่านี้จะหมายถึง เป็นการเต้นที่ มีรูปแบบเป็นลักษณะยืนเต้นซึ่งแปลตรงตัวเลยตามคำคือ Top แปลว่าด้านบน Rock คือการเขย่าหรือโยก นั่นเอง องค์ประกอบที่ 2 ดาวน์ร็อก (Downrock) แปลตรงตัวอีกเช่นกัน คือ Down แปลว่า ด้านล่าง Rock แปลว่าเขย่าหรือโยก แปลรวมกันคือ การเต้นแบบด้านล่าง ซึ่งจะเรียกกันอีกอย่างว่า ฟุตเวิร์ก (Footwork) เป็นการเต้นลงบนพื้น องค์ประกอบที่ 3 คือ ฟรีซ (Freeze) เป็นท่าจบ โดยจะ จะหยุดโพสท่าต่างๆ เมื่อต้องการที่จะทำการจบการเต้น หรือ ต้องการหยุดตามจังหวะเพลง อาจจะเป็นท่าโพสท่าแบบธรรมดา หรือ เป็นท่าที่ผาดโผนก็ได้ เช่น โพสแบบกลับหัว องค์ประกอบที่ 4 คือ พาวเวอร์มูฟ (Powermove) เป็นท่าที่ใช้พลังของ ร่างกายและแรงเหวี่ยง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเล่นท่าที่ผาดโผนโดยเป็นส่วนของในการเคลื่อนไหว ในการทำท่าหมุนบนพื้นหรือบนอากาศ
คำว่า เบรกแดนซ์ซิ่ง (breakdancing) จะยังไม่เป็นที่ยอมรับในวัฒนธรรมฮิปฮอป เพราะเป็นคำที่แต่งขึ้นมาโดยสื่อมวลชนเพื่ออธิบาย การเบรกกิง หรือ บี-บอย บนถนน ผู้บุกเบิกรูปแบบศิลปะส่วนใหญ่และผู้ฝึกที่โด่งดัง เรียกท่าเต้นดังกล่าว ว่า บี-บอยอิง (b-boying)[4][5][6][7][8]



พื้นฐานการวางเท้า

        ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษที่จะต้องมีความรู้สึกถนัดกับการวางเท้าในการเล่นสเก็ต โดยการใช้เท้าข้างหนึ่งวางด้านหน้าขณะที่ไถสเก็ต ส่วนเท้าอีกข้างใช้ในการดันแผ่นให้ไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม, บางคนอาจจะตัดสินใจยากที่จะเลือกว่าตนเองถนัดเท้าไหนกันแน่

ถ้าคุณถนัดในการไถแผ่นสเก็ตโดยใช้เท้าข้างซ้ายวางข้างหน้า นั่นก็หมายความว่าคุณถนัดในการวางเท้าซ้ายนำนั่นเอง

Regular (เรกูล่า) คือ ชื่อเรื่อกสำหรับผู้ที่ถนัดในการวางเท้าข้างซ้ายไว้ข้างหน้า ส่วนเท้าขวาของเขาใช้ในการดันแผ่นให้ไปข้างหน้า

Goofy (กูฟี่) คือ ชื่อเรื่อกสำหรับผู้ที่ถนัดในการวางเท้าข้างขวาไว้ข้างหน้า ส่วนเท้าซ้ายของเขาใช้ในการดันแผ่นให้ไปข้างหน้า

การวางเท้าทั้งสองแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่า การวางเท้าแบบใดแบบนึงนั้นผิด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนถนัดแบบไหนนั้นเอง

ตอนนี้คุณก็ทราบพื้นฐานการวางเท้าแล้ว ดังนั้นเลือกการวางเท้าอย่างใดอย่างหนึ่ง

วิธีการตรวจสอบแบบง่ายๆ ว่าคุณถนัดเท้าไหนในการเล่นสเก็ต เรานำมาเสนอ 2 วิธีดังนี้

#1 - ขั้นบันได ยืนหันหน้าไปทางบันไดขั้นแรก แล้วเดินขึ้นขั้นบันไดแบบธรรมชาติที่สุด เท้าข้างที่ยื่นออกไปก่อนนั้น นั่นคือเท้าข้างที่ใช้วางข้างหน้าตอนเล่นสเก็ต

#2 - สไลด์ วิธีนี้ได้ผลดีเยี่ยม โดยการเดินบนพื้นลื่นๆ หรือสวมถุงเท้า แล้ววิ่งช้าๆ แล้วหยุดให้เท้าสไลด์กับพื้นในขณะที่ยืนอยู่ เท้าที่วางอยู่ด้านหน้า เท้าข้างนั้นแหละ ที่ใช้วางด้านหน้า ขณะที่เล่นสเก็ต


ท่า Frontside 180 kickflip (f/s flip)          เป็นท่าที่รวมเอาท่าสองท่ามา รวมกัน ระหว่างท่า frontside 180 และท่า kickflip ดังนั้นคุณต้องแน่ใจว่า คุณสามารถเล่นท่าทั้งสองท่าได้ดีแล้ว ก่อนที่จะมาหัดเล่นท่านี้

.:Description (รายละเอียด)
        ขณะที่ไถแผ่นอยู่นั้น ผู้เล่นจะกระโดดแล้วหมุนตัวของเขาพร้อมกับแผ่น 180 องศา โดยที่แผ่นจะปั่นจากการใช้เท้าเตะ

.:Technique (ขั้นตอน) 

1. ไถแผ่นมาด้วยความเร็วที่พอเหมาะ

2. วางเท้าหลังบนส่วนเทล และเท้าหน้าวางเฉียง 45 องศา
3. ย่อเข่าทั้งสอง และให้ไหล่อยู่ในลักษณะที่จะเล่นท่า fs 180 แล้วใช้เท้าหลังป๊อปส่วนเทล แล้วใช้เท้าหน้าเตะแผ่นแบบท่า คิกฟลิป แต่ให้เตะดึงแผ่นให้ขึ้นสูง เพราะมันจะทำให้แผ่นง่ายต่อการ หมุนและปั่นในเวลาเดียวกัน
4. ให้ยกเท้าทั้งสองให้สูงพอที่จะทำให้แผ่นไม่โดนเท้า
5. แล้วให้ใช้เท้าจับแผ่น โดยให้ล้อลงทั้งสี่ล้อพร้อมกัน

6. แล้วให้ย่อเข่าเล็กน้อย แล้วปล่อยให้แผ่นเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสมบูรณ์


ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://riskskateboard.cjb.net/



เล่นสเก็ตอย่างไรให้ปลอดภัย


          การเล่นกีฬาทุกชนิด มีโอกาสเกิดอันตรายได้หากผู้เล่นเล่นไม่ถูกวิธี หรือประมาทหรือหักโหมเกินกำลังการเล่น สเก็ตเองก็เช่นกัน หากเรารู้หลักปฏิบัติ มีสมาธิในการเล่น ไม่ประมาท หรือทำอะไรเกินความสามารถเราก็สามารถใช้   สเก็ตในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้อย่างปลอดภัย

อุปกรณ์ป้องกัน และหมวกกันน็อค
         มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นบาดเจ็บจากการล้ม สนับมือ สนับศอก และสนับเข่า จะทำหน้าที่ป้องกันส่วนต่างๆ ที่โดยมากจะใช้สำหรับรับแรงกระแทกในขณะล้ม หมวกกันน็อค เป็นไปได้ก็ใส่ไว้ทุกครั้ง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้เล่น และการใส่อุปกรณ์ป้องกันเหล่านี้ ควรใส่ให้กระชับในแต่ละส่วน เพื่อป้องกันการหลุดลื่นออกไป โดยเฉพาะหมวกกันน็อค จะต้องใส่ให้พอดีศรีษะ ไม่หลวมหรือเลื่อนไปมา

การฝึกทักษะการล้ม
        บางคนอาจคิดว่า ต้องฝึกด้วยหรือ คำตอบคือควรต้องฝึก เพราะการล้มอย่างถูกวิธีจะช่วยเซฟเราจากการบาดเจ็บภายในได้เป็นอย่างดี มีอุปกรณ์ป้องกันแล้ว ก็ต้องล้มให้เป็นด้วยเราจะล้มไปด้านหน้า และหลีกเลี่ยงการล้มไปด้านหลัง เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ป้องกันด้านหลังเลยในกรณีล้มไปด้านหลัง ห้ามใช้แขนข้างเดียวรับน้ำหนักพยุงตัวจากการกระแทก เพราะน้ำหนักตัวผู้เล่น รวมกับแรงกระแทกกลับมาจากพื้น จะทำให้กระดูกแขนไม่สามารถรองรับได้ ถ้าโชคดีหน่อย ก็แค่ปวดนิดหน่อย ถ้าแรงๆ หรือน้ำหนักตัวมาก กระดูกแขนจะรับไม่ไหวสามารถดูวิดีโอฝึกสอนพื้นฐานการเล่นสเก็ตได้ที่ www.youtube.com/frozwheel และค้นหาคำว่า Basic skating ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด บทเรียน

เล่นอย่างระมัดระวัง ไม่คึกคะนอง เกินความสามารถ
ข้อนี้สำคัญ โดยเฉพาะกับเด็กๆ หรือวัยรุ่น
        ในกรณีเด็กๆ ส่วนมากเวลาเล่นสเก็ตด้วยกัน จะชอบเล่นวิ่งไล่จับกัน มีผู้ไล่ตาม และผู้วิ่งหนีวิ่งอย่างรวดเร็วจนเกินความสามารถตัวเองโดยไม่รู้ตัวเพื่อหนีไม่ให้โดนเพื่อนไล่จับทัน ในจังหวะนี้หากเสียการทรงตัวขึ้นมา จะล้มกระแทกแรงกว่าปกติ เนื่องจากความเร็วค่อนข้างสูง ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรคอยหมั่นเตือนหากเห็นว่าเด็กๆ เริ่มเล่นเร็วและแรงขึ้น เพื่อความปลอดภัย
        ศึกษาสถานที่ที่เราใช้เล่น ให้ปลอดภัยจากรถยนต์ หรือสิ่งของอื่นๆ ที่สามารถแตกหัก และมีมุมมีเหลี่ยมแปลมคม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการล้มกระแทกชนกับสิ่งของดังกล่าว
หากสถานที่ที่ใช้เล่นนั้นมีรถวิ่งผ่านไปมา ควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และไม่ควรใช้หูฟังฟังเพลงดังๆ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงแตรรถ หรือเสียงรอบข้างใดๆ


รูปภาพของกีฬาสเก็ตบอร์ด




วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556


ประวัติกีฬา สเก็ตบอร์ดกัน [ SKATEBOARD ]

ประวัติกีฬา สเก็ตบอร์ดกัน [ SKATEBOARD ]

Sk8 ย่อมากจาก Skate ครับ แล้วเลข 8 ตามท้ายคือ เป็นคำแสลงที่ออกเสียงรวมกับ เอสกับเค ตามคำอ่านอังกฤษ 8 ออกเสียง เอจทแล้วเอามาออกเสียงรวมกันเป็น skate ซึ่งวัยรุ่นต่างประเทศนิยมใช่เขียนกัน
 ___________________________________________________________
  เริ่มจากแถบ Califonia นักเล่น Suft ได้ลองใช้ถนนที่เป็นลอน แทนคลื่นในทะเลในยามไม่มีคลื่น
ตั้งแต่
1950 กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาแท้ๆที่นิยมกันมากของชาวอเมริกา แต่ก็ได้รับการเมินเฉยเมื่ออินไลน์สเก็ตและ BMX เป็นที่นิยม แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น การไถไปมาเป็นหลักของการเล่น ช่วงปลาย1950ดนตรีและภาพยนตร์เกี่ยวกับSkateboardเป็นตัวปลุกกระแสการออกแบบเครื่องเล่นให้เหมือนSurfboard และมีการผลิตเพื่อการค้าครั้งแรกโดยโรลเลอร์ เดอร์บี้ จำหน่ายตามห้าง
สรรพสินค้าในปี 1959
ปี 1960 นิตยาสารเกี่ยวกับการเล่นสเก็ตฉบับแรกปรากฏขึ้น รวมทั้งมีการผลิตสเก็ตบอร์ดกันขนานใหญ่(แต่ในหนังสือ Skateboarding , Space and the city บอกว่าหนังสือเล่มแรกเกิดช่วง1981?)
ปี1963 ผู้ผลิตสเก็ตบอร์ดมากาฮาได้จัดตั้งทีมสเก็ตบอร์ดเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตน ปัจจุบันนี้ทีมดังกล่าวกำลังเดินทางโดยได้รับความอุปถัมภ์จากผู้ผลิตเพื่อดำเนินการด้านอุตสาหกรรมการตลาด การแข่งขันสเก็ตบอร์ดอย่างเป็นทางการครั้งแรกได้รับความอุปถัมภ์จากมากาฮาในแคลิฟอร์เนียปี1973ได้มีการใช้วงล้อยูรีเทนในการกีฬา ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยและคล่องตัวกว่า
สเก็ตบอร์ดมีขนาดกว้างมากขึ้น จาก ระยะ 16 ซม.เป็นกว่า23 ซม.เพื่อให้ความมั่นคงที่ดีกว่า ในการเล่น
 Vert
การเล่นสเก็ตบอร์ดสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีการเล่นแบบต่างๆต่างๆเช่น Slalom,ดาวน์ฮิลล์,ฟรีสไตล์ ก้าวต่อไป วัฒนธรรมการเล่นสเก็ตบอร์ดเริ่มรวมตัวเข้ากับพวกพั้งค์ และดนตรีแบบใหม่ อาร์ตเวิร์คและกราฟิกเริ่มมีบทบาทมากในวัฒนธรรมการเล่นสเก็ตบอร์ดการเสื่อมความนิยม
ใกล้ๆปลายปี1970 ลานสเก็ตบางแห่งก็หายไปเพราะธุรกิจตกต่ำ การเล่นสเก็ตบอร์ดก็เริ่มตกต่ำอีกเป็นครั้งที่สองจนการเล่นสเก็ตบอร์ดก็หายจากวงการ การขี่จักรยานBMX เข้ามาเป็นที่นิยมและนักสเก็ตส่วนมากก็หยุดเล่นสเก็ตลานสเก็ตก็สูญหายไปแต่มีการสร้างฮาฟว์ไปป์ และแรมป์ยังคงพัฒนาต่อไปอย่างเงียบๆด้วยนักขี่จักรยานBMX
แต่การเสื่อมความนิยมก็เป็นไปได้ไม่นาน
ในปี 1980 ก็มีการฟื้นฟูการเล่นสเก็ตบอร์ดโดยใช้แรมป์ที่เป็นไม้อัด และการเล่ นตามท้องถนนจึงก่อให้เกิดความพยายามในการเล่นด้วยตนเอง นักสเก็ตเริ่มที่จะสร้างแรมป์สำหรับสเก็ตที่ทำด้วยไม้เอง และเล่นในลานโล่? บริษัทที่เป็นของนักสเก็ตเริ่มสร้างอุปกรณ์ต่างๆให้มีมาตรฐานกว่าเดิม เพื่อใช้เล่นท่าให้ได้ดีขึ้น ในยุคนี้จะมีดาวเด่นประจำกลุ่ม ซึ่งบางคนก็ยังเล่นสเก็ตจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งโทนี่ ฮอว์คและสตีฟ แคบเบลเลอโร มีการจัดการแข่งขันโดย The National Skateboarding Association การเล่นสเก็ตบอร์ด ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมระหว่างประเทศเริ่มจากดนตรีของพวกพั้งค์ นักสเก็ตส่วนใหญ่ชอบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆสีทึมๆและย้อนยุคไปใส่รองเท้าเทนนิสที่นักสเก็ตสวมใส่ในอดีตSkateboard แบบ New School กำเนิดขึ้นโดยเน้นไปที่การเล่นท่าพื้นฐาน ออลลี่ และเน้นเล่นท่าTrick ต่างๆการเล่นสเก็ตบอร์ดก็พบกับการคุกคามใหม่นั่นคือการเล่นโรลเลอร์เบรดเด็กหันมาให้ความสนใจกีฬาที่มีล้อและเล่นแนบเท้าทั้งสองแทนเสก็ตใน1995 ESPNได้บรรจุกีฬาประเภทนี้ในงานแข่ง Extreme Games(ปัจจุบันคือ X Games)Skateboard เป็นหนึ่งในกีฬาหลักที่ต้องจัดในงานX Gamesประจำปีทุกครั้ง
ปัจจุบัน มีอุตสาหกรรมเกี่ยวกับกีฬา
 Skateboard มากมายเช่น นิตยาสาร สำนักงานออกแบบสนาม ภาพยนต์ที่เกี่ยวกับเสก็ต เป็นต้นขนาดของอุปกรณ์ต่างๆก็มีขนาดเพิ่ม-ลดต่างออกไป ส่วนโทนี่ ฮอว์คก็ยังคงเป็น Super Star ในวงการเสก็ตเสมอมาจนถึงปัจจุบัน...
โดย// Monkiezz UD.

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประวัติความเป็นมาของจักรยาน BMX ทำความรู้จักถึงความเป็นมา ต้นกำเนิด

จักรยานสองล้อรุ่นแรก ๆ ที่เป็นต้นแบบของจักรยานสองล้อในปัจจุบันมีกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2343ในปี พ.ศ. 2408  ได้มีการผลิตจักรยาน 2 ล้อ รุ่นหนึ่งซึ่งมีตัวล้อเป็นเหล็ก  และมีขอบล้อทำด้วยไม้  กำลังเคลื่อนล้อได้มาจากแรงปั่นด้วยเท้าบนบันไดทั้งสองของรถจักรยาน  เหมือนกับในรถสามล้อถีบปัจจุบัน  ในช่วงต่อมาได้มีการใช้ล้อทำด้วยยาง    และในราวปี พ.ศ. 2423-2433  ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางล้อหน้าได้ขยายใหญ่ขึ้นถึง 60  นิ้ว  ซึ่งทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทางถึง 16  ฟุต จากการปั่นบันไดรถจักรยานหมุน 1 รอบ  อันมีผลให้มันสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง  ทั้งในแนวราบและวิ่งลงเขาแต่สำหรับการขี่ขึ้นทางชันนั้นจะต้องออกแรงเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นการที่จุดศูนย์ถ่วงของตัวจักรยานอยู่สูงทำให้มันมีแนวโน้มที่จะพลิกคว่ำหรือเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย  ดังนั้น  ในราวปี พ.ศ. 2428  จึงได้มีการผลิตจักรยานรุ่นใหม่ที่มีรูปลักษณะเหมือนจักรยานสมัยใหม่ในปัจจุบัน  คือ ล้อทั้งสองมีขนาดเท่ากัน  และมีเฟืองที่บันไดรถ  เพื่อถ่ายทอดกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง  ทำให้เกิดลักษณะการขับขี่มั่นคงกว่าเดิม  และยังให้อัตราทดกำลังด้วยการเลือกใช้เฟืองทดกำลังที่เหมาะสมสำหรับขับขี่โดยเฉพาะด้วยความเร็วต่ำแต่เบาแรงกว่าในขณะปั่นขึ้นเขาหรือทางชัน

จักรยานBMXเกิดขึ้นประมาณยุค 70  ในทางตอนใต้ของคาลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งได้ปรับแต่งจักรยานขนาดล้อ 20นิ้ว ซึ่งพวกเขาได้แรงบรรดาลใจจากการชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแข่งขันจักรยานยนต์  Motocass  แล้วทำให้เป็นที่นิยมกันมากในตอนนั้น    การแข่งขันจักรยานวิบากแบบ BMX (Bicycle Moto Cross)    ที่มีวงล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้ว ในประเภทความเร็ว(Racing) ได้เป็นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้แพร่ขยายไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว   หลังจากนั้นไม่นานนักขี่หลายๆคนได้ฝึกท่าทางพลิกแพลงผาดโผนในแบบต่างๆ เพื่อความสนุกสนาน และใช้โชว์ออฟกันในกลุ่มเพื่อนๆ ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะในการควบคุมรถได้อย่างดี และเมื่อมีโอกาส ก็มักจะได้นำท่านั้นมาออกโชว์กันในช่วงพักของการแข่งขัน หรือในการโปรโมท์ ให้กับสปอนเซอร์ของตน ซึ่งจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีทีเดียว ต่อมาเมื่อมีท่าทางหลากหลายมากขึ้น   นักขี่หล่าวนั้นได้หันมาเน้นฝึกแต่ท่าพลิกแพลง(Tricks)  อย่างจริงจัง
จนกระทั่งได้กลายเป็นกีฬาประเภทใหม่ที่เน้นฝึกเฉพาะแต่ท่าผาดโผนอย่างเดียว  และได้พัฒนาท่าพลิกแพลงเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในยุคนั้นท่ายังไม่มีมากนัก จึงมีการคิดค้นลีลาต่างๆ ออกมาใหม่ ตลอดเวลา นักขี่แต่ละคนจะมีท่าเป็นของตนเอง ไม่ค่อยจะซ้ำกันนัก นักขี่กลุ่มนี้จึงถูกขนานนามว่า "Freestyler" และได้เริ่มมี การจัดการแข่งขันเฉพาะทางขึ้น นักขี่ที่มีชื่อที่สุด
คนหนึ่งในช่วงนั้น คือ Bob Haro ซึ่งถือได้ว่าเป็น "Father of Freestyle"
(ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทจักรยานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่ง)

ในราวปี 1985 เป็นต้นมา ทางบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายๆราย ได้มีการผลิตอะไหล่ ที่ทำไว้สำหรับการเล่นท่า Freestyle ได้แก่ตัวถังที่มีที่ยืนตรงหลักอาน, ที่ยืนตรงแฮนด์, ที่ยืนตรงแกนล้อ และตะเกียบฯลฯ  การจัดแข่งขันเริ่มมีมากขึ้นมีการรวมตัวนักขี่ผาดโผน จัดตั้งเป็นทีม Freestyle  อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงนี้เอง ที่สมาคม AFA(American Freestyle Association) ได้เข้ามาผูกขาดในการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ๆ นักขี่เอือมกับกติกาหยุมหยิม เช่น Flatland ก็ให้ใส่หมวกกันน๊อก และกรรมการเป็นคนธรรมดาไม่รู้จักการให้คะแนน โดยเฉพาะท่ายากๆหรือท่าใหม่ๆ  แบนนักขี่ที่ไปแข่งงานอื่น  จัดแบ่งรุ่น(Class)ละเอียดยิบ ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามรุ่นอายุ ยังมีรุ่นสมัครเล่น(Amateur) และรุ่นมืออาชีพ(Pro) ซึ่งนักขี่จะลงได้หลายรุ่น ปัญหาจึงอยู่ที่คนที่มีฝีมือดียังไม่ยอม Turn Pro ง่ายๆเพราะยังหวงตำแหน่งอยู่ต่อมาในยุค 90  AFA ยกเลิกการจัดแข่ง ทำให้วงการเงียบเหงาไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้ Mat Hoffman ซึ่งเป็นนักขี่ ได้ริเริ่ม จัดงานแข่งขึ้นเองชื่อ Bike Stunt Series หรือ BS ซึ่งเป็นการปลุกผีวงการขึ้นมาอีกครั้ง และได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกระทั่ง ESPN ช่องกีฬายักษ์ใหญ่ได้มาติดต่อขอซื้อรายการต่อ  จัดให้มีการนำภาพจากการแข่งไปออกอากาศทั่วโลก และต่อมาได้รวบรวมกีฬาสุดขั้วหรือ Extreme Sports เข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อ “X-GAMES”



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กีฬาเอ็กซ์ตรีมแนวใหม่สุดท้าทาย Free Running
อนัน อันวา กับกีฬาเอ็กซ์ตรีมแนวใหม่สุดท้าทาย Free Running

อนัน อันวา กับกีฬาเอ็กซ์ตรีมแนวใหม่สุดท้าทาย Free Running (GM)
เรื่อง : ชนานันทน์ สุนทรนนท์ ภาพ : พิชญตม์ คชารักษ์, อนุวัตน์ เดชธำรงวัฒน์ ผู้ช่วยช่างภาพ : ธีระวัฒน์ พวงศรี

แม้พักหลัง ๆ เราจะไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นหน้าค่าตาหรือผลงานในวงการบันเทิงของ "อนัน อันวา" กันสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่ายังมีแฟน ๆ ของหนุ่มคนนี้อยู่อีกจำนวนไม่น้อย ที่เฝ้ารอผลงานของเขาอยู่ ซึ่งวันนี้เราได้นำข้อมูลจากนิตยสาร GM ที่ได้ไปพูดคุยกับอนันเกี่ยวกับความสนใจในกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่เขาและเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติ ได้รวมตัวกันในนาม ทีมฝรั่ง (Farang) ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อทำกิจกรรม "ฟรี รันนิ่ง" (Free Running) หากใครยังไม่ทราบว่าไอ้เจ้ากีฬาชนิดนี้มันเป็นยังไง เอาเป็นว่าลองไปทำความรู้จักพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าครับ

มารู้จักกับ Team Farang กันก่อนดีกว่า
คนไทยเราอาจจะรู้จักแต่ อนัน อันวา และพอรู้มาบ้างว่าเขาเล่นฟรีรันนิ่งมาจนเชี่ยวชาญ แต่ยังไม่รู้จักเพื่อนสนิทของเขา นักฟรีรันนิ่งขั้นเทพ เก่งจนแข่งขันติดระดับโลก เจสัน พอล (Jason Paul) นักกีฬาระดับโลกของเร้ดบูล หนุ่มวัย 21 ปีจากประเทศเยอรมนี, ฌอน วู้ด (Shaun Wood) หนุ่มผมทอง จากประเทศออสเตรเลีย พวกเขาทั้ง 3 คน ที่มารวมตัวตั้งทีมฟรีรันนิ่งสุดคูล ในนาม "Team Farang" (ทีมฝรั่ง)

น่าแปลกใจที่หนุ่มทั้ง 3 คนมาจากต่างสังคมต่างวัฒนธรรม แต่กลับมีรสนิยมเดียวกัน และมีจุดเริ่มต้นเหมือนกันเป๊ะ คือพวกเขาต่างก็เริ่มต้นจากการเปิดดูคลิปวิดีโอฟรีรันนิ่ง ของดาวิด เบลในภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟ B13 หลังจากนั้นก็เริ่มออกภาคสนามไปฝึกซ้อมก่อนแข่งขันในประเทศและต่างประเทศเพื่อชาร์จพลังความตื่นเต้นให้กับตัวเอง และทำให้พวกเขาทั้ง 3 คนได้รู้จักกัน

Extreme Spirit

ทุกคนที่ได้ดูการเล่นฟรีรันนิ่ง จะต้องสงสัยใคร่รู้ทำไมพวกเขาจึงต้องทำอะไรพวกนี้ โดยเฉพาะเวลาที่เราได้เห็นพวกเขากระโดด วิ่ง และทะยานอยู่บนอากาศ หล่นลงมาจากที่สูง พวกเราเกือบหยุดหายใจ

ทั้ง 3 คนเริ่มต้นด้วยการตอบกวน ๆ ตามสไตล์วัยรุ่นว่าเพราะสิ่งนี้ทำให้พวกเขาดูเท่และเทพในคนหนุ่มมาก แต่พวกเขาก็ช่วยขยายความเพิ่มเติม ว่าสิ่งสำคัญกว่าที่พวกเขาได้รับจากกีฬาชนิดนี้คือ ร่างกายและจิตใจ

"ความมั่นใจคือสิ่งสำคัญที่สุดครับ และก่อนที่จะกระโดดแต่ละครั้ง เป็นเหมือนการด้นสด มีการคิดคำนวณไว้ก่อนหน้ามาบ้าง มีทิศทางในหัวที่เราร่างเอาไว้ หลังจากนั้นทั้งสายตา กล้ามเนื้อสมองมันจะทำงานอัตโนมัติ เหมือนกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ที่คุณวางแผนไว้ก่อนว่าจะไปทางไหนเพียงแค่ว่า นี่มันคือของจริง" เราคุ้นเคยกับสำเนียงลูกครึ่งและความเป็นมิตรของ อนัน อันวา

หากถามว่าพวกเขาเคย "พลาด" บ้างไหม? จากสิ่งที่เขาได้ตอบเรามา แน่นอนว่าต้องเคย และมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่บนร่างกาย แต่อย่างไรเสียพวกเขาอนุญาตให้มันเกิดขึ้นในระดับการซ้อมเท่านั้น

The Great Leap Forward

เราสงสัยว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมพวกนี้ มีวันหมดอายุหรือเปล่า แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขายังหนุ่มยังแน่น กำลัง "Top Form" พวกเขาจะเล่นกีฬาชนิดนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ?

เจสันตอบแบบไม่ต้องคิดว่า "อาจจะพรุ่งนี้นะ เพราะคนมองว่าเป็นกีฬาเสี่ยง และดูเหมือนพวกเราพร้อมที่จะเสี่ยงตายทุกวัน (หัวเราะ)" ส่วนฌอนบอกว่า "ในอนาคต เราอาจจะเล่นอยู่ แต่วิธีการเล่นอาจจะเปลี่ยนหรือช้าลง"

ก่อนที่อนันจะช่วยขยายความคำตอบของทุกคนว่า "ตอนอนันเล่นที่ชิดนีย์ (เขาไปเรียนต่อที่นั่น) อนันก็ฝึกฟรีรันนิ่งด้วย ก็เห็นมีเด็กตั้งแต่อายุ 12-13 ขวบไปจนถึงคนที่อายุ 30-40 ปีมาฝึก แม้แต่เดวิด เบลคนที่ทำให้ฟรีรันนิ่งเป็นที่รู้จัก ตอนนี้ก็ประมาณ 40 ปีแล้ว เขาเองก็ยังเล่นอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ที่เราเห็นตามวิดีโอกีฬาเอ็กซ์ตรีมว่ามีแต่สตันท์เด็ก ๆ หรือวัยรุ่นมาเล่น เพราะคนที่ชอบทำวิดีโอฟรีรันนิ่งเป็นวัยรุ่น และเป็นคนเล่นกลุ่มอายุเดียวกัน (ฟรีรันนิ่ง มักมาพร้อมกับวิดีโอที่เต็มไปด้วยการโชว์ความสามารถฉากแอ็คชั่น ในสถานที่ที่พวกเขาเดินทางไป) แต่พอเราเห็นว่ามีคนเล่นหลายรุ่น ก็อยากจะเล่นไปเรื่อย ๆ ถ้าทำได้ ถ้ามาเจอกันอีกทีตอนอายุ 40 เราก็อาจจะยังเล่นอยู่นะ ไม่มีใครรู้"

WHAT IS FREE RUNNING?
กระโดดจากตึกสูงไปยังอีกตึกข้างเคียงกัน แล้วกระโดดจากตึกไปยังสะพานที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนลงถึงพื้นด้วยการม้วนหน้าไปสองตลบ และลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้สบาย ๆ นึกภาพตามนี้ ก็คงเข้าใจแล้วว่าฟรีรันนิ่งคืออะไร

ฟรีรันนิ่ง (Free Running) หรือปาร์กัวร์ (Parkour) 2 คำนี้ถูกนำมาใช้แทนกันได้ ปาร์กัวร์ ที่มีต้นกำเนิด และเป็นที่นิยมในประเทศฝรั่งเศส มีจุดเริ่มต้นจากการฝึกความคล่องแคล่วในการทหาร เน้นการเอาชนะ อุปสรรคยาก ๆ อย่างการกระโดดและปีนป่ายด้วยท่าทางธรรมชาติ ไม่ต้องเน้นท่าสวย แต่ต้องมีประสิทธิภาพในสถานการณ์จริง

อนัน อันวา กับกีฬาเอ็กซ์ตรีมแนวใหม่สุดท้าทาย Free Running

GET TO KNOW THEM
Jason Paul (เจสัน พอล)

เริ่มฝึกปาร์กัวร์ตั้งแต่อายุ 14 ปี ไม่นานเขาก็ได้ กลายมาเป็นดาวเด่นในวงการฟรีรันนิ่งของประเทศเยอรมนีและระดับโลก ในปี 2010 เจสันได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันของแมคโดนัลด์วิดีโอคอนเทสต์และมีชื่อเสียงอย่างมาก เรื่องราวของเขาถูกนำเสมอใน Jump นิตยสารออนไลน์เกี่ยวกับฟรีรันนิ่งและปาร์กัวร์ฉบับแรก และได้รับความสนใจจากแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็น โซนี่ รีบ็อก ซีเมนส์ ไรโนส์

Shaun Wood (ฌอน วู้ด)

ดาวเด่นของวงการปาร์กัวร์ในประเทศออสเตรเลีย เขาถูกทาบทามจากแบรนด์ดังต่าง ๆ อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู โซนี่ โนเกีย และดิสนีย์ และในปี 2009 ชอนเป็นชาวออสเตรเลียคนแรก ที่สร้างชื่อให้ประเทศของเขาใน Barclay Free Running World Championships ต่อด้วยการแข่งขัน Red Bull Art of Motion ในสวีเดน และปัจจุบันนอกจาก "Team Farang" เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีม "Trace’s Element" ทีมปาร์กัวร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศออสเตรเลีย

Anan Anwar (อนัน อันวา)

ลูกครึ่งอินโดนีเซีย-สก็อตแลนด์ เติบโตในกรุงเทพฯ และถ้าย้อนกลับไป เราหลายคนรู้จักเขาดีในฐานะป๊อปสตาร์แห่งค่ายอาร์เอสตั้งแต่อายุ 12 ปี อนัน ยังเป็นนักแสดง นายแบบ และยังมีกิจกรรมสนุก ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะกีฬาเอ็กซ์ตรีมสารพัดอย่างที่เขาลงมาเล่นอย่างเอาจริงเอาจัง เขาร่วมการแข่งขัน เอเซียนเอ็กซ์เกมรุ่นเล็กตั้งแต่อายุ 13 ปี และได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ในการแข่งขันกีฬาเวคบอร์ด ก่อนจะเดินทางมาถึงฟรีรันนิ่ง และทำให้ปัจจุบันเขาเลือกที่จะทำงานเกี่ยวกันฟรีรันนิ่งอย่างจริงจัง

HOW TO START

"แค่ออกไปข้างนอก และก็กลับไปเป็นเหมือนเด็กอีกครั้ง ปืน วิ่ง ข้าม กระโดด ให้มีความสุขสนุกกับตัวเอง ฝึกง่าย ๆ ว่า จากตรงนี้ เราจะไปถึงอีกจุดหนึ่งยังไง และให้ปลอดภัยด้วย เริ่มจากเล่นง่าย ๆ เตรียมพร้อมร่างกายก่อน แต่ถ้าอยากไปถึงอีกระดับ การมีครูสอนก็ช่วยเยอะ เหมือนกันในเรื่องเทคนิค แต่ถ้าไม่มี ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเรามีครูอีกเยอะในอินเทอร์เน็ต และสำคัญที่สุดคือการซ้อมครับ" อนัน อันวา







ชีวิต ชาว B-Boy
ความจริงแห่งชีวิตของชาว B-Boy
ลีลาการเต้นของเหล่า B-Boy


ถ้าจะเอ่ยถึง กิจกรรมของวัยรุ่นในปัจจุบันนั้นล้วนมีมากมายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา การเล่นเกม ดูทีวี เป็นต้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้ววัยรุ่นจะชอบทำกิจกรรมที่ท้าทายความสามารถ แปลก แหวกแนว ไม่ซ้ำแบบใคร
มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว

ทั้งนี้ หนึ่งในกิจกรรมที่วัยรุ่นเลือกและสามารถที่จะตอบโจทย์ให้กับพวกเขาได้ นั่นคือ การเต้น B-Boy ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งกิจกรรมที่วัยรุ่นทั้งชายและหญิงนิยมกันมาก โดยจะมีการจับกลุ่มกันเพื่อฝึกการเต้นตามจุดนัดพบต่างๆ
ถือเป็นกิจกรรมที่เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

การเต้น B-Boy คือ การเต้นที่ต้องใช้พละกำลังมาก ใช้ท่วงท่าที่ดูหนักหน่วง และดูเป็นธรรมชาติที่สุด โดยการเต้นมักจะใช้ท่าสเต็ปเท้าเป็นหลัก ส่วนท่ามือไม่ได้ใช้กันแต่มักจะปล่อยเป็นฟรีสไตล์ทำให้การเต้นดูมีความพลิ้ว
ไหวมากขึ้น และลำตัวจะปล่อยไปตามธรรมชาติ ส่วนท่าหมุนต่างๆ มักใช้หลักการหมุนตามธรรมชาติมาช่วย ฉะนั้นการเต้น B-Boy จึงเป็นการผสมผสานส่วนต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่ศีรษะ ลำตัว มือ เท้า เข้าด้วยกัน

ถ้าเป็นนักเต้นที่เป็นผู้ชาย ศัพท์แสงที่ใช้ ก็คือ B-Boy ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า B- Girl อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ชาว B-Boy ก็คือ คนทั่วไปมักจะมองนักเต้นเหล่านี้ว่าเป็นเด็กที่ไม่ดี ไร้การศึกษา จับกลุ่มมั่วสุมกัน ทำกิจกรรม......

ประวัติกีฬา Extreme Sports บุกโลก

เราเห็นภาพในทีวีที่เด็กในโลกตะวันตกเล่น skateboard บนพื้นที่เป็นคลื่น ตีลังกาผกโผนในอากาศ หรือไม่ก็วิ่งพุ่งลงจากเนินเขา หรือเล่นโดดข้ามตึกเหมือนภาพยนตร์ตำรวจจับขโมย หรือเล่นสกีบนหิมะด้วยเท้าเปล่า ฯลฯ กีฬาท้าทายอันตรายต่างๆ เหล่านี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกทีโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ

กีฬา เช่น ฟุตบอล รักบี้ เทนนิส คริกเก็ต กำลังได้รับความนิยมลดลงในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ เพราะกีฬาใหม่ๆ ที่เรียกว่า extreme sports (กีฬาที่โลดโผนสุดโต่งหรือเสี่ยงอันตราย) กำลังมาแทนที่ และดูทีท่าจะระบาดไปในผู้ใหญ่ด้วย


extreme sports ใหม่ๆ เช่น canyoning (ปล่อยตัวให้ลื่นไหลตามกระแสน้ำในลำธารเหมือนเล่น slider) base jumpin (โดดลงมาจากตึกหรือหน้าผาโดยมีเชือกผูกติดคล้าย bungee jumping) และ wake-boarding (เล่นเสิร์ฟบนคลื่นที่จงใจสร้างขึ้นโดยใช้เชือกโยงตัวคนเล่นกับเรือยนต์ และปล่อยออกให้ surf บนคลื่นที่เกิดหลังเรือยนต์) กำลังจะมาบดบังกีฬาที่ได้รับความนิยมแต่ดั้งเดิม

จากการสำรวจในปี 2003 ของ New Research for Sport England (หน่วยงานให้บริการและเงินทุนเพื่อสนับสนุนกีฬาของอังกฤษ) พบว่า หนึ่งในเจ็ดของผู้ใหญ่เคยเล่นกีฬาที่ผจญภัยและเสี่ยงอันตราย สัดส่วนของผู้ใหญ่ที่เล่นกีฬาลักษณะนี้อย่างน้อยหนึ่งอย่างเป็นประจำเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวระหว่างปี 2001 ถึง 2003 และนับเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของการเล่นกีฬาทั้งหมด

ภาคเอกชนของเมืองต่างๆ ในอังกฤษจึงตอบสนองความต้องการเล่น extreme sports ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้างสนามกีฬาสำหรับ extreme sports ขึ้นโดยเฉพาะ เมือง Middlesbrough จะสร้างบึงน้ำขนาดใหญ่สำหรับ surfing, wake-boarding, สกีน้ำ รวมทั้ง ร้านขายของ ที่พักอาศัย และสำนักงาน

เมือง Manchester กำลังสร้างศูนย์กีฬาผจญภัยที่เรียกว่า Venture Extreme มูลค่า 59,000 ล้านบาท โดยสร้างถ้ำและหน้าผา (เพื่อปีนป่าย คลานรอด) สร้างศูนย์เล่น surfing สร้างกำแพงน้ำแข็งให้ปีนป่าย ฯลฯ ภาคเอกชนในเมือง Cardiff ก็กำลังสร้างสถานที่เล่นกีฬาผจญภัยเกี่ยวกับน้ำ น้ำแข็ง และหิมะ มูลค่า 50,000 ล้านบาท

บริษัทใหญ่เครือ Extreme Group ของอังกฤษวางแผนจะเปิดศูนย์ extreme sports ในเมืองต่างๆ ให้เป็นสวนเล่นกีฬาชนิดที่เน้นการออกกำลังและการผจญภัยโดยเรียกว่า Ex Parks (ผู้ว่าฯ อภิรักษ์น่าริเริ่มสวนกีฬาแบบนี้ และปล่อยให้นายกฯ ทักษิณลงมาปราบมาเฟียโบ๊เบ๊ซึ่งเป็นชื่อมาเฟียพันธุ์ใหม่ที่โลกเพิ่งรู้จักไปแล้วกัน)

หน่วยงานของทางการอังกฤษดังที่เรียกว่า New Research for Sport England ถูกขอเงินอุดหนุนมากมายจากทั่วประเทศเพื่อสร้างกำแพงสำหรับปีนเล่น (ดังเช่นที่ไนท์บาซาเชียงใหม่ พัทยา หรือศูนย์การค้าหลายแห่งในกรุงเทพฯ) สวนเล่น skate หรือสนามเล่นกีฬาเกี่ยวกับหิมะหรือน้ำแข็งในร่ม ฯลฯ

งานวิจัยสำรวจความคิดเห็นประชาชนของ Brighton University พบว่าประชาชนมีความสนใจใน extreme sports ยิ่งขึ้นทุกวัน มีผู้ใหญ่ร้อยละ 12 (ประชากร 5.8 ล้านคน) ปรารถนาที่จะเล่น extreme sports ถึงแม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงที่จะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหรือตาย
งานวิจัยพบอีกว่า ในปัจจุบันมีผู้ใหญ่จำนวนมากที่ชอบ moutain biking (ขี่จักรยาน ภูเขา) เช่นเดียวกับตกปลา ขี่ม้า เล่นเรือใบ ยิงปืน นอกจากนี้ Canoeing (พายเรือแคนู) และ Kayaking (พายเรือลำยาวที่มีแผ่นเปิดตัวเรือ โดยพายล่องไปตามกระแสน้ำ) ก็มีจำนวนผู้นิยมใกล้เคียงกับตกปลาที่เป็นกีฬายอดนิยมทีเดียว

อะไรทำให้ผู้คนหันเหสู่กีฬาประเภท extreme sports ?
ในยุคของการปลดปล่อย (liberalization) การเล่นกีฬาที่มีกฎกติกาบังคับเป็นความกดดันอย่างหนึ่งที่คนจำนวนมากในยุคนี้ ไม่ชอบ extreme sports ให้ความตื่นเต้นแปลกใหม่แก่ชีวิต ชัยชนะขึ้นอยู่กับตนเอง และตนเองเป็นคนให้คำจำกัดความ (หากเล่นฟุตบอล ชัยชนะหมายถึงต้องยิงประตูมากกว่าเขา) เช่น ปีนเขาลูกใดสำเร็จ โดดข้ามตึกใด ฯลฯ และเป็นการหลีกหนีจากความจำเจแน่นอนของงานประจำในชีวิต และทำให้มี lifestyle (แบบแผนการดำเนินชีวิต) ที่เป็นพิเศษ โยงใยกับกีฬานั้นๆ

ตัวอย่างเช่น ขี่จักรยานภูเขาทำให้จำเป็นต้องมี lifestyle ชนิดที่ผูกพันกับธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร หรือการชอบปีนเขาในสถานที่แปลกใหม่ ทำให้มี lifestyle ของการเป็นผู้ชอบเดินป่าหรือกีฬา wake-boarding หรือดำน้ำทำให้เป็นผู้ชอบทะเล ชื่นชมการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ยิ่งผู้คนเบื่อหน่ายกฎเกณฑ์กติกาไม่ว่าของที่ทำงานหรือของสังคมมากเท่าใด หรือเบื่อความจำเจของชีวิตมากเท่าใด โอกาสที่จะเล่นกีฬา extreme sports ก็มีมากเพียงนี้

มีงานสำรวจอีกชิ้นหนึ่งพบว่า เด็กอังกฤษวัย 11-14 ปี ชอบเล่นสเก๊ตแบบที่เป็นล้อ แถวเดียววิ่งเป็นวงร้อยละ 27 ชอบเล่น skateboarding ร้อยละ 21 ชอบขี่จักรยานภูเขา ร้อยละ 18 ชอบปีนเขา ร้อยละ 10 และชอบ snowboarding (แผ่นบอร์ดที่ลื่นไหลบนหิมะ) ร้อยละ 6 เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีกีฬาที่คนอังกฤษเล่นกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว เช่น ฟุตบอล รักบี้ หรือคริกเก็ต อยู่เลย

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามนุษย์แคร์กับการมองของผู้อื่น เมื่อพรรคพวกของตนหรือกลุ่มสังคมที่ตนคุ้นเคยชื่นชอบกีฬาประเภทนี้และรู้สึกต่อต้านกฎเกณฑ์ร่วมกัน ตนเองก็จะถูกชักนำให้ ชื่นชอบกีฬาประเภทนี้ไปด้วย ดังนั้น ความนิยม extreme sports จึงขยายเป็นวงกว้างคู่ขนานไปกับยุค liberalization และ anti-institution (ต่อต้านสถาบัน)

กีฬาใหม่ล่าสุดของ extreme sports มีชื่อว่า parkour หรือ free running (วิ่งเสรี) เป็นการผสมผสานยิมนาสติก ปีนเขา และความกล้าบ้าบิ่น (ที่ปกติกระทำโดยพวกตัวแสดงแทนหรือ stuntmen) ผู้เล่นต้องกระโดดข้ามตึกใกล้เคียง ปีนป่ายสิ่งก่อสร้างในเมือง ที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแตกต่างกันออกไป (เช่น ไต่ข้างตึกสูง ไต่เสาสูง ฯลฯ) ขณะนี้เริ่มมีเล่นกันในลอนดอนและเมือง Edinburgh

การที่คนเหล่านี้ยอมแลกความเสี่ยงกับการเล่น extreme sports ที่ extreme (สุดโต่ง) เช่นนี้ก็เพราะลึกๆ แล้วต้องการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจต่อความจำเจแน่นอนของชีวิตในสายตาของเขา เมื่อเขากล้าที่จะเลือกรับความเสี่ยง เราคงต้องยอมรับพฤติกรรมแปลกๆ (ในสายตาของพวกเรา) ของเขาบ้างกระมังครับ